วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

31 ธ.ค.54@หัวหิน


31 มค.54 บ้านเราไปฉลองปีใหม่ที่หัวหินเหมือนเดิม เก็บรูปมาฝากนิดหน่อย...



เช้าวันที่ 1 มค.มาหาข้าวกินในร้านบ่อฝ้าย




มาที่วัดๆนึงในปราณบุรี

แดดแรงมากๆ


ตอนเย็นมากินข้าวที่ร้านบ่อฝ้ายเหมือนเดิม
ปลาทอดน้ำปลา





กุ้งทอดเกลือ อันนี้อร่อยมากๆ


พิซซ่าที่FN Outlet ซื้อกลับมากินที่บ้าน
มาเดินเล่นที่นี่ต่อ.............














 

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

7 พ.ย.-กลับบ้านเฮา


วันสุดท้ายแล้ว เมื่อคืนบ้านเราก็เก็บข้าวของเสร็จก็วางแผนกันว่าวันสุดท้ายไปไหนดี โทรกลับมาหาแม่ที่เมืองไทย แกก็อยากได้ร่มซักอัน เออ...เมื่อวานไปมุสตาฟาไม่บอก (- -") งั้นวันนี้เราไปหาที่ CityHall ดีกว่าเพราะไปสะดวก 10.30 น.ก็เช็คอินเสร็จก็ขอฝากกระเป๋าที่โรงแรมไว้ก่อนขี้เกียจแบกไปด้วย ทางโรงแรมก็มีห้องเก็บอย่างดี เราก็ไปตัวเปล่าๆสบายไป เพราะเครื่องออกตอน 4โมงเย็น ^^

เอารูปรถที๋โน่นมาให้ดู เค้าใช้รถหรูๆกันเยอะนะ คนที่มีรถใช้ส่วนมากจะฐานะดีพอควรเลย

อันนี้เหมือนอู่แท็กซี่ที่นั่น ดูสะอาดสะอ้านดี

รถเบ๊นซ์เป็นแท็กซี่ก็มีนะเอ้อ....

สังเกตุดูเค้าใช้รถเก๋งโดยสาร ไม่มีกระบะเลย แท็กซี่ก็ฮุนได มีเบ๊นซ์ หรือโตโยต้าบ้าง

รถทัวร์ที่นั่น ใช้รถ 2 ชั้น

ทางม้าลาย เรียบๆง่ายๆ

รถบรรทุกของเค้า
อันนี้เหมือนร้านบุฟเฟ่ต์ชื่อดังของที่นั่น มีเฟรนไชส์หลายที่อยู่ แถวรร.ผมนี่ 2 ร้านไล่ๆกันเลย ลักษณะเป็นเหมือนชาบู หรือบาบิคิว ตามแต่จะเลือก ส่วนน้ำซุปเป็นกระดูกปลา เวลาผ่านร้านทีไรกลิ่นจะโชยออกมา(ออกไปทางเหม็นคาวปลามากกว่า) คนแน่นตลอด
ดูรูปประกอบ ของในร้านเค้า...





ข้ามถนนเตรียมไปหาร่มกัน


































โรงแรมนี้เพิ่งเห็นตอนจะกลับ ^^

















สถานีรถไฟที่คุ้นเคย ร้านขนมปังBread Talk ร้านไก่ทอด Old Chang Kee

บริเวณนี้เมื่อ 3 วันก่อนเกือบเอาชีวิตมาทิ้ง - -"

ถนนที่เป็นระเบียบ อากาศดีมากกกก

ข้ามมาที่ Ruffle City วันนี้เหมือนเค้ามาเปิดบู๊ทขายซิมมือถือ ไปเดินๆดูก็ไม่เข้าใจออกมาดีกว่า...


ได้เวลาหม่ำมื้อสุดท้ายของที่นี่กัน

อยากลองอาหารญี่ปุ่นมั่ง สั่งมาชุดนึง 5 S รสชาดบัดซบไม่สมราคาเลย T__T

ของเจี๊ยบข้าวมันไก่ มาถิ่นเค้าเพิ่งได้กินมื้อแรก อร่อยมากๆ


หลังจากนั้น อารมณ์ประมาณอยากลองขนมปังปิ้ง เลยสั่งไปแต่เหมือนคนขายคงเข้าใจผิด เอาไข่ลวกมาให้ สั่งมาก็ต้องกิน.....

ของเป้ ไอซ์กะจัง น้ำแข็งไสดีๆ บ้านเรามีร้านมาเปิดขายด้วยนะ




ลงมาเดินหาร่มในซุปเปอร์ ร้านเสื้อผ้าก็เจอแบบไม่ถูกใจ เหมือนที่เมืองไทยไงงั้น

ซื้อแซนวิสเจ้านี้ไป กะไปกินที่สนามบิน อยากลองดูว่าต่างกับเมืองไทยแค่ไหน เครื่องเค้าเยอะดีนะ รชาดเข้มข้นกว่าบ้านเราดี 

เสร็จแล้วนึกได้ว่ามีร้านRoyceที่นี่ แต่นึกไม่ออกว่าอยู่ตรงไหน? เดินวนหาอยู่นาน จนมาจุดใต้ตำตอ อยู่ข้างSubwayนี่หว่า? จัดไปอีก

ดูเวลาจะบ่าย 2 ละ ได้เวลาmoveไปซะที ร่มคงต้องบอกแม่ว่าไม่มีถูกใจ ไว้คราวหน้าละกัน ระหว่างนั่งรถกลับด้วยความงก ก็ให้ปูเป้กับเจี๊ยบรออยู่ในสถานีรถไฟจะได้ไม่เปลืองค่ารถ ส่วนผมกลับมาเอากระเป๋าที่รร.คนเดียว(กระเป๋า 3 ใบ)

ตอนเดินไปไม่เท่าไหร่ ตอนเข็นออกมานี่แทบอ๊วก หารถเมล์ก็ไม่มีเลย มีแต่แท็กซี่(นั่งไม่ไหว แพง) เลยต้องใช้เวลาหน่อย

ไปละค้าบบบบ

บนรถไฟมาแบบด่วนจี๋



มาถึงสนามบิน 3 โมง 20 น่าจะทันเครื่องออก แต่....เค้ามีกฎว่าต้องมาเช็คอินก่อนเครื่องออก 40 นาที เจ้าหน้าที่เค้าจึงปฏิเสธการเช็คอินของเรา เราขอเปลี่ยนเที่ยวบินได้มั้ย? ก็ได้รับคำตอบว่า no no no แล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นก็เดินหนีเราไปเลย...แล้วจะทำยังไงล่ะ???

เดินไปถามการ์ดแถวนั้น เค้าก็แนะนำให้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตรงเค้าท์เตอร์เบอร์xx เราก็เดินไปถามเจอเจ้าหน้าที่ผู้ชายเล่าเรื่องเราตกเครื่องให้ฟัง และถามว่าเคลมตั๋วได้มั้ย? เค้าก็บอกว่าเราต้องซื้อใหม่สถานเดียว ก็เอาวะ...ไมงั้นคืนนี้ต้องนอนที่สนามบินแน่ๆ ซักพักเค้าก็กดๆเครื่องคิดเลขแล้วก็บอกว่าค่าตั๋วประมาณ 580 เหรียญ ผมเริ่มใจไม่ดี นั่งนึกๆเงินในกระเป๋าตังค์มีแค่ 200 เหรียญนี่หว่า หันไปถามแฟนว่าเหลือเงินเท่าไหร่? 50 เหรียญ...เอาแล้วไง

บ้านเราอึ้งไปพักนึง ผมลองคำนวณคร่าวๆในหัวว่าค่าเครื่องมันไม่น่าเกิน 16,000 บาท ในบัตรผมมีราวๆนั้น เลยถามว่ารับบัตรมั้ย เค้าก็พยักหน้า เลยบอกขอให้เช็คยอดเงินในบัตรหน่อยว่าได้มั้ย? เค้าก็เอาบัตรไปรูดแล้วก็คำนวณอะไรบางอย่าง สักพักก็มีกระดาษอะไรไม่รู้มาให้ผมเซ็นต์ มาดู...อ้อ รายการทั้งหมดนี่หว่า เบ็ดเสร็จประมาณ 620 เหรียญซึ่งส่วนที่เพิ่มคือค่าน้ำหนักกระเป๋าด้วย จากนั้นเค้าเอากระเป๋าเราไปชั่งน้ำหนักแล้วก็ให้ตั๋วมา เราเลยถามว่า...เสร็จแล้วเหรอ? โล่งอกไป...เครื่องออกอีกที 2 ทุ่ม ตกเครื่องครั้งแรกจริงๆ

จากนั้นเราเลยมาทำเรื่องขอคืนภาษีก่อน ป้ายบอกทางดูงงๆ ไม่รู้ว่าจุดไหนกันแน่ ไปทางโน้นบ้างนี้บ้าง ถามเจ้าหน้าที่ก็ชี้ไปคนละทาง ตอนนั้นเพิ่งจะ 5 โมงเย็น เราเลยเข้าไปตายเอาดาบหน้าด้านใน(เข้าไปจะออกไม่ได้ละ)

เดินๆไปเจอพวกร้านสินค้าปลอดภาษี ดูตระการตาดี แต่ก็สู้ที่สุวรรณภูมิกับนาริตะไม่ได้ เดินๆไปก็เจอป้ายขอคืนภาษีผมก็ไปต่อคิวทำเรื่อง เจอเจ้าหน้าที่ผู้หญิงแขก(อีกแล้ว) และภาษามันก็ทำผมปวดหัวเหมือนเดิม ผมถามว่า What? Again? หลายรอบจนมันรำคาญ(ก็ฟังไม่ออกนี่หว่า) จนมันไล่ผมไป...ไอ้เราก็ปี๊ดขึ้นเลย บอกแฟนว่าไปเถอะ ผมไปตั้งสติอยู่ 10 นาทีก็มาต่อแถวใหม่ คราวนี้ไปช่องอื่นดูบ้าง เจ้าหน้าที่ช่องนี้ดีหน่อย ค่ากระเป๋าผมได้คืนมา 4S ส่วนทีซื้อของที่ห้างมุสตาฟาเค้าคืนใบเสร็จมา บอกว่าให้ไปหย่อนที่ตู้ไปรษณีย์ เดินเลยไปหน่อยติดร้าน... ก็โอเค

หาอะไรกินก่อน 6 โมงเย็นละ ผมมีแซนวิส ส่วนปูเป้กับเจี๊ยบมีซูชิที่ซื้อมาเมื่อกลางวัน เสร็จแล้วก็เดินไปหาตู้ไปรษณีย์ที่ว่า เดินๆไปก็ไม่ยักเจออะไรที่สะดุดตา ก็กลับไปถามที่เค้าท์เตอร์  เผอิญเจอเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า เค้าก็ใจดีเดินพามาดู ปรากฎเป้นถังเตี้ยๆวางมุมเสาเหมือนถังขยะ ให้เราไปหย่อนในนี้ เดี๋ยวเค้าจะติดต่อมาเอง(จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นมี)


เสร็จแล้วขึ้นมารอที่ห้องโถง ร้านซาโบเต็นที่นั่นก็มีนะ


เครื่องออก 2 ทุ่ม มีแต่คนไทยทั้งนั้น เราได้ที่นั่ง VIPเลย มิน่าทำไมมันแพงจังวะ? ถึงเมืองไทยเกือบๆ 4 ทุ่มครึ่ง เช็คกระเป๋าขึ้นแท็กซี่ปุ๊บ เจอแท็กซี่คุยเรื่องน้ำท่วมต่อ...โอยเหนื่อยนะวุ๊ย

ถึงบ้านเกือบๆเที่ยงคืน กว่าจะเก็บของอะไรอีก วันรุ่งขึ้นไปทำงานแทบช็อคตาย(ไม่ได้นอน)

ท้ายนี้ขอบคุณ...แม่ สำหรับทุกอย่าง
                          อาปู อาแก่ อาปุ๊ก ปุ๊กปุ๋ย ความช่วยเหลือหลายๆเรื่อง หลายๆอย่าง
                          อาเหมี่ยว ข้อมูลการเดินทาง
                          เพื่อนๆ DPU ข้อมูลการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ 
                          เพื่อนๆ ทวีธาและทุกๆท่านที่คอยถามไถ่
                          ปูเป้ เจี๊ยบ ไปไหนไปกันตลอด
                          ชาวไทยและชาวสิงคโปร์ทุกท่าน ขอบคุณที่ทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านอีกหลังของผม
                          ขอบคุณ..ที่ติดตามอ่าน เจอกันในการเดินทางครั้งต่อไปครับ :D