วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

11 เมษายน 2560 หอไอเฟล Tour Eiffel ครั้งที่ 1





18.00 น. ถึงโรงแรม ตอนขามาระหว่างทางเห็นมีร้านนึงขายซูชิ ราคาไม่แพง 8 EURO ผมเลยเดินย้อนไปซื้อที่นั่น ร้านเหมือนร้านขายอาหารเอเชียล้วนๆ เจ้าของน่าจะเป็นคนเวียดนามแหงๆ ปลาสด ข้าวปั้นมารสชาดดีครับ เก็บของที่ห้องพักนึง เราก็ปาร์ตี้กินข้าวกันที่สนามหญ้าในโรงแรม ย่าปูจะไปเดินดูไฟที่หอไอเฟลต่อ เจ้าหมูดำไปไม่ไหวแล้ว เจี๊ยบก็ขออยู่เป็นเพื่อนด้วย ส่วนอาต้อยปวดหัวเนื่องจากไม่ได้กินข้าวกลางวัน กินยานอนพักไป ปู่แก่ก็ปวดขาเหมือนกัน เนื่องจากทุกคนบ่นว่าปวดขาเพราะเดินขึ้นลงในสถานีรถไฟ ย่าปูเลยเปลี่ยนแผนไปรถเมล์แทน


20.00 น. ถึงหอไอเฟล รถเมล์เค้าวิ่งเร็วสะใจดีครับ นึกถึงสาย 8 บ้านเราเลย ที่นี่คนดำเยอะจริงๆ  คนดำที่รวยๆนี่มีเยอะนะครับ ที่เราไปเป็นจุดชมวิว ใกล้ๆกันเป็นพิพิธภัณฑ์ครับ เค้าก็มีร้านของขายเป็นของกินครับ บริเวณนั้นก็มีพี่มืดน่าจะเป็นแอฟริกา ขายพวงกุญแจสารพัดอย่าง เราถ่ายรูปอยู่พักนึงก็กลับครับ ย่าปูซื้อเครปนูเทล่าไปฝากเจ้าหมูดำด้วย


21.30 น.ถึงโรงแรม จะเดินไปหาอะไรกินต่อที่คาร์ฟูร์ปิดไปแล้ว เลยอาบน้ำเข้าห้องนอนครับ ระหว่างนั้นก็ส่งรูปประจำวันที่ถ่ายเข้าห้องไลน์ครอบครัว Wifi ของโรงแรมช้ามาก ส่งทั้งคืนยังส่งไม่ผ่าน




















11 เมษายน 2560 พระราชวังแวร์ซาย


12.00 นั่งรถไฟมามี accident ตอนขามาคือ รถไฟขบวนแรกแน่นมาก ไม่มีใครกล้าแทรกตัวเข้าไป แต่อ่ำแข็งแรงสุดเลยเข้าไปก่อน และประตูปิดพอดี ทำให้คลาดกัน เราเลยต้องรอขบวนถัดไป เมื่อรถไฟมาก็สังเกตสถานีหน้า และอ่ำก็ยืนรอพอดี ช่วงระหว่างที่ต่อสายรถไฟนี่เดินต่อรถไฟกันจนหน้ามืด มาถึงพระราชวังแวร์ซายสมใจ 
ปู่แก่บอกเคยมาแล้วไม่ขอเดินไปเพราะไกลมาก ส่วนย่าปูบอกเคยมาหลายรอบแล้ว สรุปได้แบบนี้เลยต้องหาที่นั่งพักให้ มองฝั่งตรงข้ามมีร้านแมคโดนัล เราก็ข้ามถนนเข้าไปสำรวจกัน ร้านใหญ่โต คนเยอะมากครับ ทัวร์จีนมาลงที่นี่หนีไม่พ้นจริงๆ อิอิ ต้องหาโอกาสช่วงชิงเก้าอี้อยู่พัก ปัญหาต่อมาปู่แก่จะเข้าห้องน้ำ ปรากฎว่าห้องน้ำเค้าต้องใส่รหัส ก็คลำกันพักนึง จนย่าปูหาเก้าอี้ได้ เราจึงหมดห่วงไป ย่าปูกับปู่แก่เฝ้าเก้าอี้ต่อไป 
เราเดินตามทางมา เห็นคนเยอะๆที่ไหนก็น่าจะทางไปพระราชวังนั่นล่ะ ระหว่างทางก็เก็บรูปไปตลอดทาง เค้าก็มีร้านขายของรายทาง เราก็เข้านั่นออกนี่ เจอหลายร้านคนขาย+เจ้าของเป็นแขก ผมก็ไม่กล้าที่จะอุดหนุน ด้วยความที่เคยได้ยินกิตติศัพท์มาบ้าง และเราก็เจอเสื้อทีมบอล Paris Saint-Germain อีกและก็ไม่มีโลโก้ Adidas เหมือนกัน เลยเป็นที่แน่ใจว่า ที่นี่เค้าคงไม่เคร่งเรื่องลิขสิทธิ์แหงๆ ของปลอมเกลื่อนเลย ระหว่างทางก็มีทหารถือปืนกลเดินลาดตระเวนก็ยังสงสัยว่ามีอะไรหรือเปล่า? 
ไม่นานก็ถึงพระราชวังแวร์ซายครับ คนมหาศาลมาก พระราชวังสวยงามใหญ่โตหรูหราจริงๆ เค้ามีประตูรั้ว 2 ชั้น ชั้นแรกเข้าไปเหมือนรั้วบ้านทั่วไป เข้าไปได้ พอผ่านไปก็จะมีประตูอีกชั้นเพื่อเข้าสู่พระราชวังซึ่งต้องซื้อบัตรเข้าชม มองไปที่คนที่ต่อคิวเยอะมาก เป็นคนจีน 90% คน ซึ่งคนที่ยืนรอน่าจะร่วมๆหลายพันคนเลยทีเดียว เราคิดว่าถ้าไปต่อคิวเข้ากับเค้าวันนี้คงไม่ได้เข้าแน่ๆ ถ่ายรูปอะไรเสร็จก็วนกลับดีกว่า













ข้ามถนนเดินย้อนกลับทางเก่า อาต้อยได้ถุงผ้าไปใบนึง ส่วนเป้ร้องจะกินไอติม เห็นราคาแล้วซื้อไม่ลง บอกอย่ากินเลยลูก ย้อนไปหาย่าปูที่ร้านแมค เราก็เริ่มหิวบ้างไปสั่งอาหารกันครับ ไปยืมดูเค้าพักก็สังเกตว่าเค้าจะมีจอทีวีหลายอัน เวลาสั่งคือ ไปกดดูเมนูที่จอแล้วก็เลือกภาษา สั่งอาหาร เรียบร้อยแล้ว เราก็กดใบออเดอร์มา แล้วไปยื่นกับพนักงานเพื่อจ่ายเงิน จึงค่อยไปรอาหารอีกที สั่งเฟร้นฟรายมาง่ายสุด พอรองท้องได้สำหรับ 3 คนพ่อแม่ลูก ส่วนย่าปูกินกาแฟรองท้องไปเรียบร้อย เสร็จแล้วเดินย้อนไปสถานีรถไฟ 



























เราไปที่ ปงเดซาร์ กันต่อครับ ถามว่ามันคืออะไร? 
ปงเดซาร์ (ฝรั่งเศส: Pont des Arts) เป็นสะพานคนเดินเท้าข้ามแม่น้ำแซนในปารีส เชื่อมระหว่างสถาบันแห่งฝรั่งเศส (Institut de France) กับจัตุรัสหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ชื่อสะพานตั้งชื่อตามชื่อของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ซึ่งเคยมีชื่อเรียกว่า "ปาแลเดซาร์" (Palais des Arts) ในช่วงจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 เป็นสะพานเหล็กแห่งแรกที่สร้างขึ้นในปารีส
สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นราว ค.ศ. 1802-1804 ในสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เป็นสะพานเหล็กที่ประกอบด้วยช่องโค้งจำนวน 9 ช่อง สะพานถูกระงับการใช้งานในปี ค.ศ. 1976 หลังจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยพบว่าโครงสร้างสะพานเสียหายจากแรงระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และจากความเสียหายจากเรือเฉี่ยวชนหลายครั้ง
สะพานถูกสร้างขึ้นใหม่ช่วงปี ค.ศ. 1981-1984 โดยปรับลดช่องโค้งเหลือเพียง 7 ช่องเพื่อให้สอดรับกับปงเนิฟ สะพานที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ปัจจุบันนิยมใช้เป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของปารีส จากตำนาน "สะพานคู่รัก" ที่คู่หนุ่มสาวนิยมนำกุญแจสลักชื่อของตัวมาแขวนไว้กับราวสะพาน และโยนลูกกุญแจลงแม่น้ำแซน[1] เป็นการแสดงคำมั่นสัญญาในความรักต่อกัน [2] [3] นอกเหนือจากสะพานแห่งนี้แล้ว ยังมีสะพานอีกแห่ง คือ ปงเดอลาร์เชอเวเช (Pont de l'Archevêché, สะพานอาร์ชบิชอป) ที่หนุ่มสาวนิยมนำกุญแจมาแขวนไว้ (ข้อมูลจากวิกีพีเดีย)

จากนั้นก็กลับโรงแรมครับ เดินขึ้นลงๆกันหน้ามืด เมื่อยขาเลย