วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

การเดินทางครั้งใหม่กับวงดนตรีใหม่

ย้อนไปตั้งแต่ปี 2555 ตอนนั้นผมยังเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆคนนึง นั่งเล่นกีตาร์คนเดียวอยู่ที่บ้านเฉยๆ ถูกมั่งผิดมั่งตามประสา มีวันนึงน้องๆที่สนิทกันคือ โป้งนาซีร็อคเค้ามีวงของเค้า เผอิญว่ามีเพื่อนเก่าผมคือ สันต์ มาแจมเบสกับวงนี้ด้วย โป้งก็ชวนผมมาซ้อมด้วยบอกว่าเล่นกันสนุกขำๆ และห้องซ้อมไม่ไกลบ้านผมเท่าไหร่ ก็โอเคตามนั้น มาวันแรกคนเล่นกีตาร์หลายคนเลย เผอิญคีย์บอร์ดว่างเลยไปสวมตรงนี้แทน ครั้งที่ 2-3 ก็เลยตามมา

ต่อมา มีวันนึงรุ่นน้องอีกคนคือ คิม ซึ่งเผอิญมาแจมกับวงโป้งเห็นว่าผมพอเล่นเพลงไทยทั่วไปได้บ้าง ก็เลยมาชวนผมไปเล่นกับวงเค้าด้วย ประกอบกับ ช่วงหลังโป้งออกต่างจังหวัดบ่อย ไม่ค่อยมีเวลา ถ้าซ้อมก็ซ้อมวันธรรมดาเวลาทำงาน ทำให้เราไม่สามารถลางานเพื่อไปซ้อมได้ เลยซ้อมกับวงคิมเรื่อยมา

ช่วง 2 ปีหลังมานี้ ทางคิมไม่มีเวลามาซ้อมเนื่องจากภารกิจรัดตัว ผมก็เหมือนจะไฟมอดเพราะไม่ได้เล่นวงเลย จนพี่เจย์ ธงใหญ่ รุ่นพี่ที่นับถือคนนึงมาชวนทำวงเล่นกันสนุกๆแต่ตำแหน่งที่แกเสนอให้ผมคือ ให้ผมเล่นกีตาร์รึทึ่มสนับสนุนแกอีกที ผมเลยบอกแกว่า ถ้าพี่จะทำวงผมเล่นคีย์บอร์ดละกัน คุยกันอยู่หลายวันจนได้สมาชิกครบละ แต่....สุดท้ายสรุปเรื่องเพลงที่จะเล่นไม่ลงตัวก็เลยพับโครงการไปก่อน

จากนั้น ทางพี่เจย์นำเรื่องของผมไปคุยกับพี่เอ Pedalparks พี่เอเลยมาทาบทามผมไปเล่นวงแก ซึ่งพี่เจย์เป็นสมาชิกคนนึงในวง ผมไม่ลังเลที่จะตอบรับข้อเสนอนี้ โดยพี่เอต้องการมือคีย์บอร์ดมาเล่นกับวง Jelly Bear นี้

ผมไปซ้อมกับ Jelly Bear ในขณะที่พี่เจย์ขอถอนตัวออกจากวงเนื่องจากไม่มีเวลา ซ้อมไป 2-3 ครั้งค่อนข้างหินพอควร สำหรับคนที่ร้างเพลงฝรั่งไปนาน และมาตรฐานของวงที่ค่อนข้างเป๊ะๆๆๆ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี









จากนั้น ทางพี่เอ ได้จัดงาน Keep Calm and Rock with No Name ขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการแสดงของเราและพี่ๆวงอื่นด้วย โดยพี่เอจัดการเรื่องคอนเส็พงาน สถานที่ และวงที่เข้าร่วมอะไรเรียบร้อยก็เริ่มลุยกัน...
พี่เจย์ขอเสนอวงแกเข้ามาร่วมโปรเจ็คนี้ด้วย โดยดึงโจและเพื่อนๆมาทำเป็นวงใหม่ และแน่นอน มีผมเป็นมือคีย์บอร์ดอีกเหมือนกัน เฉพาะวงนี้นัดเวลาเพื่อซ้อมกันยากมากเพราะเวลาไม่ตรงกัน เลยสรุปว่าเล่นเพลงไทยอัลเทอร์เนทีฟยุค 90 เพื่อความรวดเร็วและเหมาะสม
ต่อมาด้วยปัญหาหลายๆประการจนมิอาจเยียวยาได้ ทางวง Scarrows ต้องถอนตัวจากงานดังกล่าวก่อนวันงานเพียง 2 วัน ส่วนตัวผมก็ซ้อมกับวงพี่เอต่อไป โดยมีพี่เจย์เป็นแขกรับเชิญด้วย
ในเมื่อเราพูดเรื่องการฝึกซ้อมกันไปแล้ว ก็มาว่ากันที่อุปกรณ์ที่ใช้งานกันบ้าง ก่อนหน้านี้ใช้งาน X3 มานานมากๆตั้งแต่ปี 2538 มาช่วงหลังเน้นที่การเล่นเปียโนมากขึ้นเลยอยากหาอะไรที่เป็น 88 คีย์เล่น แรกเริ่มเดิมทีดูที่ค่ายเดิมอย่าง Korg ครับ ไปลองหลายสิบรอบมาก ชอบ Korg Krome 61 keys ก็ประทับใจเสียงเค้ามาก จนตัว 88 keys ออกมาไปลองก็รู้สึกว่าโอเคเลย จนวันที่ตัดสินใจจะซื้อก็เจอปัญหา โทรเช็คเรียบร้อยว่ามีของ 1 ตัว ก็เดินทางไปที่ร้านเลย พอไปถึงพนักงานบอกของหมดแล้ว ก็เอ๊ะ...ตะกี้โทรมาบอกมีของไหงถึงหมด และมันไม่ใช่ของที่ขนาดว่ามาปุ๊บขายปั๊บ ทางร้านไม่มีคำตอบอะไรออกมา จนผ่านไป 1-2 วันได้ยินวงในบอกกันว่า นักแต่งเพลงวัยรุ่นที่ชอบสร้างกระแสชื่อดังสอยไป ก็...เอิ่มอะไรวะ? จริงๆถ้ามีคนจองไว้ร้านก็ควรจะบอกจะได้ไม่เสียเวลารอ เว้นแต่.....นั่นล่ะ แต่นั่นทำให้ผมไม่ย่อท้อครับ เข้าไปสอบถามทางร้าน จะมีของเข้ามาอีกในเดือนนี้ๆ ก็โอเคเดี๋ยวมาดูใหม่ เลยถามเรื่องราคาว่าลดอีกได้ไหม เพราะซื้อของมาหลายอย่างละ และราคาก็ถือว่าแพงอยู่ แล้วก็ได้รับคำตอบเดิมๆว่าไม่ลดแล้ว (แต่ผมรู้ว่ามันมีราคาพิเศษ สำหรับลูกค้าบางคนอยู่) ถามอยู่ 2-3 ครั้งจนหมดความอดทน โอเค...ไม่เต็มใจจะลดไม่เป็นไร มองหายี่ห้ออื่นดีกว่า

มาที่ค่าย Roland คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน ผมไม่ค่อยแฮปปี้สินค้าเค้า รวมถึงการบริการหลังการขาย มีบทเรียนจากตัวเอฟเฟค Boss GX-700 รู้สึกบริการแย่มากทั้งก่อนและหลังการขาย(ครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะซื้อร้านนี้) คงไม่เอาอีกแล้ว

ก็เหลือ Yamaha อีกเจ้าซึ่งผมก็มืดมนเหมือนกันว่าจะมีช่องทางไหน? เช็คราคาที่ขายในเมืองนอก กับบ้านเรา(ตัวแทน) ก็รู้สึกว่าทำไมราคามันดีดแรงไปมาก หนทางดูมืดมนชอบกล

จนมีวันนึงนึกขึ้นได้ว่ามีคนรู้จักอยู่ในยามาฮ่าก็ลองแย๊บๆดู เค้าก็ยินดีช่วยเหลือเต็มที่ครับ จริงเป็นที่มาของการเจรจาหลายครั้งหลายหน โดยส่วนตัวแล้วสายงานเค้าไม่ได้ดูแลเรื่องสินค้าตรงนี้ แต่ก็เป็นธุระให้หลายๆอย่าง คุยกันทาง Inbox นานมากครับ เกือบๆครึ่งปีได้ เพราะของหมดสต๊อคและบริษัทแม่จะไม่สั่งของทีละ 1-2 ชิ้น สั่งทางล๊อตใหญ่เลย ซึ่งทำให้เราต้องรอ และรอ และรอด้วย

กุมภา 2558 ก็ได้มาครับ เป็นการรอคอยที่นานมาก น้ำหนักหนักใช้ได้เลยประมาณ 14 กิโล พร้อม Foot Damper (ยังใช้งานไม่คล่องเลยครับ แฮะๆๆ) แต่......มันก็มีเรื่องอื่นๆตามมาอีก

ขาตั้งคีย์บอร์ดอันเก่าของบ้านหม้ออันละ 500 เป็นแบบชั้นเดียวโย้ๆ พอวางตัวใหม่ปุ๊บ โอนเอนๆทันที ดูทรงไม่น่าอยู่ได้เกิน 5 นาที เลยต้องจัดแจงหาขาตั้งที่แข็งแรงอันใหม่ ดูแบบที่เค้าใช้กันแบบถูกๆ พันกว่าบาทไม่น่าอยู่ กัดฟันเสียเงินซื้อขาตั้งชั้นเดียวแบบดีๆไปเลยดีกว่า (ภาค 1 เอ๊ะ ยังไง???)

โปรดสังเกตปลั๊กไฟของยามาฮ่าครับ เป็นแบบหม้อแปลง 2 หัวกลม ซึ่งการจะเสียบผนังดูจะยุ่งยากและน่าจะไม่แข็งแรง จึงต้องหาปลั๊กรางที่คุณภาพดีขึ้นมาอีก ใช้เวลาค้นหาข้อมูลอยู่พักใหญ่ ไปสอบถามที่ร้านตาลไฮ"ฟ อมรินทร์พลาซ่าอยู่ครึ่งวันก็ได้ CLEF AUDIO ตัวเล็กสุดมาใช้ครับ

ใกล้วันงานต้องมีการทำการบ้านเรื่องอุปกรณ์ที่ร้านที่จะเล่นนิดครับ ในส่วนไลน์คีย์บอร์ดไม่มีอะไรให้เลย เท่ากับว่าผมต้องแบบคีย์บอร์ดไปเอง 2 ตัว(ไลน์คีย์บอร์ดเยอะพอควร เลยต้องเอาไป 2 ตัวเลยซึ่งจริงๆไม่ควรเป็นแบบนั้นนะ) และขาตั้งด้วย

ขาตั้งที่ซื้อใหม่เป็นชั้นเดียวครับ ไม่พอแน่นอน ต้องเสียเงินอีก ถามว่า...ทำไมไม่ซื้อขาตั้ง 2 ชั้นตั้งแต่แรก เพราะบ้านผมไม่มีที่วางครับ บ้านหลังนิดเดียว แล้วมอนิเตอร์เสียบคีย์บอร์ดเล่นได้แค่ตัวเดียว ตั้งไว้ 2 ตัวก็ไม่มีประโยชน์ เลยต้องซื้อขาตั้ง 2 ชั้นอีกอัน(ภาค 2)

ดูแบบที่เค้าขายๆกันแบบถูกๆก็บอบบางมาก ไม่ก็มีขนาดใหญ่ไปเลย ไม่ไหว เลยต้องมาเล็งตัวดีๆหน่อย เปิดดู MV วง ETC ไปสะดุดกับขาตั้งแบบนึง โคตรเท่ห์ อยากได้มาก ดูราคาเมืองนอกแพงฉิบ บ้านเรามีร้านนึงรับมาขายครับ ด้วยอานิสสงค์พี่เอ เลยได้มาราคาถูกสุดๆ เป็นอันว่าของพร้อมแล้ว !!!
 
จากนั้นก็ซ้อมๆจนคิดว่าพร้อม ก็ถึงวันงานครับ แบกของทุกอย่างใส่รถไปที่ทองหล่อ หนักอิ๊บอ๋าย แถมกระเป๋าใส่คีย์บอร์ดตัวใหม่ซิปแตกอีก โอย อะไรจะทุลักทุเลขนาดนั้น
ผลงานออกมาไม่ค่อยแฮปปี้ ไม่ได้ยิน Sound ที่ตัวเองเล่นเลย และเล่นหลุดตลอด ถือเป็นบทเรียนที่เราต้องนำมาปรับปรุงต่อไปครับ