วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ภาค 1 : วางแผนเที่ยว

สวัสดีชาวโลก

ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย 1 ปีเต็ม (2556 หรือ 2013) ไม่ใช่ว่าจนหรืออะไรนะครับ(จริงๆจนนั่นล่ะ) คือ ปี 2011 กับ 2012 บ้านเราไปเที่ยวสิงคโปร์ 2 ปีติด แล้วก็ไปแต่ที่เดิมๆจนเกิดความรู้สึกเบื่อ 1 ปีที่ผ่านมาจึงขอหยุดการเที่ยวสิงคโปร์ไว้ก่อน เลยมาถึงการทำการบ้านหาสถานที่เที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจใหม่

มีชื่อที่อยู่ในหัวเราแว๊บแรก 2 ที่ ที่แรกผมนึกถึงฮ่องกง....

ฮ่องกงบ้านเราไม่เคยไปเลย ด้วยอะไรหลายๆอย่าง เช่น บ้านเราพูดภาษาจีนไม่ได้, บ้านเราเดินไม่อยากนั่งเรือข้ามไปมาเก๊า, บ้านเราไม่ชอบต่อของและทะเลาะกับแม่ค้า, บ้านเราไม่ชอบอาหารจีน ฯลฯ

ที่สองคือ ญี่ปุ่น.....

ญี่ปุ่น ผมไปมา 2 ครั้งแล้ว (2007 , 2008) ส่วนเจี๊ยบกับเป้ไปปี 2008 แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย เรายังคิดถึงที่โน่นเสมอ ที่ที่เราวิ่งเล่น ที่ที่เราเดินเราหลงทาง พ่อแม่ผมเป้เจี๊ยบ......ที่นั่นมีความทรงจำและความประทับใจมากมาย

ใน 1 ปีเราจึงเหมือนได้เตรียมตัวอะไรหลายๆอย่าง

อย่างแรกคือ การระดมเงินก้อนนึงที่พอจะประคับประคองการเดินทางสำหรับคน 3 คนภายในระยะเวลา 5-6 วัน

อย่างสองคือ เป้าหมายที่เราจะไป.....เรื่องนี้ต้องเล่าให้ฟังกันยาวเลยทีเดียว ตอนเป้ย้ายรร.มาเข้าป.1 ที่รร.นี้ ผมสัญญากับเป้ไว้ว่าถ้าสอบได้ที่ 1 อยากได้อะไร เป้ตอบว่าอยากไปเกาหลี(ตามแม่) แต่ผมจะถามเหตุผลกับเค้าทุกครั้งว่าทำไมถึงอยากไป? อาหารเกาหลีก็ไม่ชอบ ซีรีย์เกาหลีก็ไม่ดู ไปแล้วซังกะตายอย่าไปเลย เลยเปลี่ยนเป็นญี่ปุ่นแทนเพราะอาหารและวัฒนธรรมญี่ปุ่นน่าจะเข้ากับเราได้มากกว่า อีกอย่างเวลาผมไปเที่ยวไหนทีไรไม่คิดจะพึ่งทัวร์เลย(ไว้บอกเหตุผลท้ายๆ) และเราก็เคยเที่ยวทีนั่นกันมาแล้ว จึงเป็นที่มาของสัญญาระหว่างพ่อกับลูก

พอป.2 เจ้าเป้ทำได้อย่างที่หวังไว้ ผมถามว่าอยากไปญี่ปุ่นปีนี้มั้ย? ลูกบอกว่าไม่ต้องไปก็ได้พ่อ
ขึ้นป.3 ก็ทำได้อีกเช่นกัน ผมถามยืนยันอีกครั้ง? ลูกตอบว่าเสียดายเงิน ผมตอบไปว่าถ้าเรานึกเสียดายในขณะที่เรามีกำลังอยู่ชาตินี้คงไม่ได้ไปไหนแล้ว อยากไปก็ไปเลย จึงเป็นที่มาของอย่างสาม

อย่างสาม วันเดินทาง ช่วงแรกผมดูเดือนสิงหาคมไว้ แต่เจี๊ยบก็ไม่เห็นด้วยเนื่องจากตรงกับวันทำงาน (กะไป 5 วันธรรมดารวมกับเสาร์อาทิตย์ก็ 7 วันซึ่งอาจจะดูนานไปสำหรับการเที่ยวในที่ที่เดินเยอะๆอย่างโตเกียว) เราจึงต้องกางปฏิทินค่อยๆหาวันที่พร้อมสำหรับทุกคน นั่นคือ ตุลาคม เพราะเป้ปิดเทอมแล้ว นั่งคิดไปคิดมาก็เจอช่วงวันปิยะฯคาบเกี่ยวเสาร์อาทิตย์ ถ้าเราเดินทางวันพฤหัสที่ 23 (วันหยุด) แล้วไปซัก 5 วันกำลังดีกับการเที่ยวแบบไม่มากแต่เก็บทุกเม็ดและพอกับ BUDGET ที่เราตั้งไว้ ก็จะลาแค่ 2 วันเท่านั้น

อย่างสี่ การเตรียมอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ถ้าให้เหลาคงยาวมากๆ
1.กล้องถ่ายรูป อย่างที่เคยเล่าว่ากล้องเดิมคือ SONY DSC8 กล้องคอมแพครุ่นอะไรซักอย่างซื้อตั้งแต่ปี 2008 ตอนไปญี่ปุ่นคราวก่อนที่ BIG CAMERA ชิบูยะ(บิ๊กคาเมร่าเมืองไทยยังไม่มีเลยคิดดู) ชอบการใช้งานนะครับมันเล็ก อึด และสะดวกดี แต่ตอนนี้มีปัญหาคือถ่ายรูปออกมาแล้วเป็นเส้นๆทุกภาพ ส่งซ่อมคงไม่คุ้มแน่ๆ กล้องใหม่ไม่กี่ตังค์เลยจัดเจ้า SONY A5000 ไปเรียบร้อย (ไม่กี่ตังค์นะ จนเลย ยังผ่อนไม่หมดเลย T T)
.....
มีกล้องใช่ว่าจะจบนะ มันต้องมีกระเป๋ากล้องใส่อีก ผมเสียเวลาไปสองวัน วันแรกได้กระเป๋ากล้อง(จริงๆ)มาใบนึงจากร้านกระเป๋าที่ CTW ดูเซฟดีน่าจะปลอดภัย แต่พอเอามาใส่เป้ที่จะเอาไปด้วย ด้วยความที่กระเป๋ามันเซฟเลยใบใหญ่กินเนื้อที่เป้ไปครึ่งนึงละ ถ้าจะใส่สัมภาระอื่นคงไม่ได้อีก เลยต้องเสียเวลาอีกวันถอยซองหนังมาเพื่อใส่กล้องอีกอัน ส่วนกระเป๋าใบแรกก็เก็บไว้ใช้งานอื่น

2.กระเป๋าเป้ ใบเดิมซื้อตั้งแต่ปี 2541 ตอนเรียนจบใหม่ๆกะว่าจะไว้เที่ยวทั่วไทยและก็ได้ใช้จริงๆครับ จนมาวันนี้มันขาดและเปื่อยละ คิดว่าถึงเวลาต้องหาใบใหม่มาทดแทนซักที ดูๆอยู่ยี่ห้อนึงคือ CRUMPLER ซึ่งผมใช้กระเป๋าทำงานเค้าอยู่ชอบดีไซน์และน้ำหนักที่เบามากๆ แต่ติดที่ราคามันโหดไปหน่อย ไปดูหลายร้านแต่ตัดใจซื้อไม่ลงสุดท้ายไปได้กระเป๋าวัยรุ่นยี่ห้อนึงกำลัง Sale พอดี เสร็จโจรเลย อิอิ
3.กระเป๋าเดินทาง คราวที่เราไปสิงค์โปร์ซึ่งไปไม่กี่วันและคงช๊อปไม่เยอะเราก็มีกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่บ้าน 2 ใบที่พอจะเอาตัวรอดได้ ส่วนตอนไปญี่ปุ่นก็อาศัยกระเป๋าของย่าปูและปู่แก่ซึ่งมีขนาดใหญ่หน่อย ส่วนคราวนี้ความตั้งใจเดิมของผมอยากซื้อกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆดีซักใบเป็นของตัวเอง ดูของยี่ห้อนึงไว้แต่ด้วยราคาที่อะไรทำให้คิดนานมาก นานจนไม่เอาดีกว่าซึ่งเจี๊ยบก็พยายามหาตัวเลือกอื่นๆมาช่วย แต่จากการที่ไปลองจับๆดู กระเป๋าราคาถูกก็สามารถได้ตามราคานั่นล่ะ สุดท้ายแล้วเราจึงต้องยืมย่าปูไป 2 ใบเหมือนเดิม
4.อุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็นในการเดินทาง เช่น กระติกน้ำ ยารักษาโรค สายชาร์ทโทรศัพท์-กล้องถ่ายรูป ฯลฯ
คราวหน้าเรามาว่ากันถึงเรื่องต่างๆที่ขาดไม่ได้กันครับ....

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รีวิวไปญี่ปุ่นแบบย่อ

ผมไปญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม เพิ่งกลับถึงเมืองไทยเมื่อวานนี้เอง(27 ตุลาคม) ขอขอบคุณสำหรับเพจไม่ใช่กูรูฯนี้มากนะครับ ได้ข้อมูลดีๆเยอะเลย และเป็นครั้งแรกที่ ”ผมนั่ง JR แล้วไม่หลงทาง” เพราะได้ข้อมูลดีๆจากเพจนี้(ผมไปญี่ปุ่นมา 2 ครั้งแล้ว ส่วนเรื่องหลงทิศแหล่งที่จะไปแทน แต่ไม่ใช่ปัญหาครับ มีปากก็ถามไป แฮะๆๆ)

1.เวลาซื้อของทุกอย่างร้านค้าต่างๆจะบวก Vat เข้าไปด้วยนะครับจะซื้ออะไรหรือแม้แต่กินข้าวดูให้ดี หรือถามเค้าก่อนว่าราคานี้รวม Vat หรือยัง (ผมโดนมาแล้วกำเงินไปพอดี พอไปจ่ายตังค์มันมี Vat ตรงนี้ด้วย เงิบไปเลย)

2.ไปไหนเจอแต่คนไทยครับ โดยเฉพาะแหล่งใหญ่ๆอย่างตลาดอะเมโยโกะ , ห้างทาเคย่า ,ศาลเจ้าเมจิ ,ชิบูย่า , ดีสนีย์แลนด์ ฯลฯ

2.1 ไม่รู้ผมซีเรียสไปมั้ยนะครับ แต่เห็นคนไทยหลายๆคนแต่งตัวแล้วรู้สึกแปลกๆ จริงอยู่ว่ามันเป็นสิทธิ์ส่วนตัวของท่าน แต่ฝากเป็นข้อคิดนิดครับ บางทีเราเห็นฝรั่งใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ หรือนักท่องเที่ยวนุ่งกางเกงขาสั้นไปวัด เรายังมองเหยียดๆ เลย

2.2 การซื้อของตามแหล่งช๊อปปิ้ง อย่างห้างทาเคย่า หรือใน Duty Free ที่สนามบิน พี่ไทยเราไม่น้อยหน้าใครจริงๆ อะไรที่ฮิตต้องกวาดซื้อมา เรียกว่ากวาดซื้อไม่พอต้องใช้คำว่าเหมาหมดร้านดีกว่าครับ อย่าง Kitkat ชาเขียวที่ห้างทาเคย่าผมไปซื้อวันที่ 26 ตค.เวลา 14.00 – 16.00 มีคนไทยอยู่ตรงนั้นประมาณ 10-20 คน ของวางไม่ถึงนาทีหมดเกลี้ยงภายในพริบตา พอวางรอบสอง-สามก็หมดอีกเช่นกัน ก็พี่ท่านเล่นเหมาซื้อกันคนละเกือบๆสิบห่อ คนอื่นไม่ต้องซื้อกันล่ะครั

2.3 คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัยเรื่องการเข้าคิวมาก รวมถึงมารยาทต่างๆเยอะแยะไปหมด เช่นมารยาทในการกินข้าว พี่ไทยเราก็ไม่น้อยหน้า อย่างเช่น

2.3.1 คนญี่ปุ่นยืนเข้าคิวซื้อของ , รอรถไฟ JR ,การไหว้พระตามศาลเจ้า แม้แต่การถ่ายรุปกับมาสคอตที่ดีสนีย์แลนด์ พี่ไทยเรามาจากไหนไม่รู้จ้ำพรวดๆแซงคิวเฉย

2.3.2 คนญี่ปุ่นจะรอสัญญาณไฟจราจร และรถต้องหยุดก่อนจึงข้ามถนน แต่พี่ไทยเราไม่ครับ ถนนว่างกูวิ่งเลย เห็นจะๆคือที่หน้าร้านคริสบี้ครีม ชิบูย่ะ วิ่งข้ามเสร็จมีตะโกนบอกคนข้างหลังว่า มาเร็วๆ(เป็นภาษาไทยเลย)

2.3.3 คนญี่ปุ่นถือเรื่องเวลาเป็นสำคัญและคำนึงถึงคนอื่นด้วย ร้านอาหารส่วนใหญ่มีขนาดเล็กเวลากินเค้าจึงรีบเพื่อจะได้ให้คนอื่นมาทานต่อ พี่ไทยเราก็ถ่ายรูปอาหารแล้วเซลฟี่ นั่งละเมียดกันใหญ่ กินไปเรอไป...อืมมมมม

2.3.4 อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าคนไหนคือคนไทยคือภาษาครับ บนรถไฟ ร้านต่างๆ แหล่งช็อปปิ้ง ที่ท่องเที่ยงดังๆจะมีคนไทยส่งภาษากันสนั่นหวั่นไหว ถ้าท่านจะคุยกันผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ที่เห็นหลายๆท่านนี่ส่งเสียงดังจนเหมือนอยู่ตลาดสดบ้านเราจริงๆ

2.3.5 คนไทยหลายๆคนไปถ่ายรูปคนญี่ปุ่นโดยไม่ขออนุญาตเค้าก่อนนี่เห็นเยอะมากครับ(แอบถ่ายว่างั้น) สังเกตว่าพวกท่านจะถ่ายตอนจังหวะทีเผลอทั้งนั้น และท่านก็จะได้รับสายตาที่โดนดูถูกเหยียดหยามกลับมา แบบนี้ไม่ดีนะครับเหมือนโรคจิตชัดๆและทำให้ภาพลักษณ์คนไทยในสายตาชาวญี่ปุ่นแย่ไปด้วย

3.ขอเล่าเรื่องประทับใจนิดนะครับ

3.1 ไปวันแรกผมจะไปโรงแรมที่พักที่สถานีโอโมริ ดันออกสถานีรถไฟผิดฝั่งก็เลยงงๆทาง ตัดสินใจถามทางกับป้าคนนึงที่เดินผ่าน เผลอพูดคำว่า “sumimasen ,I wanted to go to…………” ทีนี้งานเข้าเลยป้าตอบกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบ Non Stop แต่พอจับใจความได้ว่าแกไม่ใช่คนแถวนี้เลยไม่รู้ทางต้องขอโทษด้วย แต่ก็ประทับใจที่แกพยายามอธิบายทั้งที่ไม่เข้าใจนะครับ

3.2 วันที่ 25 ตค.เวลา 15.30 ผมไปซื้ออุปกรณ์ดนตรีที่ชิบูยะซึ่งออกจากสถานีไปทางSouth Gate และต้องข้ามสะพานลอยไป เสร็จแล้วก็กลับมาตั้งต้นที่สถานีใหม่เพื่อจะไปร้านโตเกียวแฮนด์แต่ไม่แน่ใจว่าต้องไปทางไหน(หลงว่างั้น) เลยถามทางผู้ชายคนนึง ขอเรียกว่า”ฮีโร่ซัง”ละกันครับ ฮีโร่ซังเป็น Salaryman หนุ่มท่าทางใจดีใส่สูทแต่งตัวเนี๊ยบเหมือนชายหนุ่มญี่ปุ่นทั่วๆไป แกไม่รู้จะอธิบายทางยังไงบอกเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย เลยบอกให้ผมตามมา ไอ้เราก็คิดว่าแกจะไปส่งแค่ตรงห้าแยกชิบูย่าแล้วคงให้เราไปเอง แต่ไม่ครับ ฮีโร่ซังพาผมและครอบครัวเดินๆๆๆๆ ตลอดทางแกก็ชวนผมคุยตลอดว่ามาทำอะไร พักที่ไหน มากี่วัน ฯลฯ ผมเลยถามแกว่าแกทำงานแถวนี้หรือเปล่า แกบอกว่าแกทำที่ชินจูกุแล้วก็ยิ้ม ตลอดการเดินนำของแก แกจะหันไปมองแฟนกับลูกผมตลอดว่าตามมาทันมั้ย? จนสุดท้ายก็ถึงร้าน Tokyo hand ระยะทางร่วมๆ 2 กิโลเมตรได้ เกือบๆ 40 นาที สุดท้ายผมไม่รู้จะตอบแทนฮีโร่ซังยังไงนอกจากคำขอบคุณเค้า และขอบคุณจริงๆที่ช่วยเหลือ เสียดายที่ไม่ทันได้ถ่ายรูปหรือขอที่อยู่ติดต่อไว้

3.3 เรื่องความซื่อสัตย์ เวลาซื้อของจ่ายเงิน คนญี่ปุ่นจะทอนเงินและอธิบายเราเสมอว่าเค้าจะทอนแบงค์นี้ๆกี่ใบและเหรียญกี่เหรียญทำให้เราสบายใจเสมอว่า เงินทอนได้ครบทุกเยนแน่นอน

3.4 มีอยู่หลายๆร้านที่ประทับใจครับอย่าง....

3.4.1 ร้าน Guitar Station ที่ชิบูยะเป็นร้านขายเครื่องดนตรี มีสินค้าตัวนึงซึ่งเลิกผลิตไปแล้ว ผมก็ไปตื้อเค้าอยู่พักนึงจนเค้ายอมขายให้ในราคาพิเศษ เลยขออนุญาตถ่ายรูปร้านเค้ามาด้วย ซึ่งผมว่าการขออนุญาตเค้าก่อนเป็นมารยาทที่ดีครับ

3.4.2 ห้าง Seiyu ที่โอโมริ โตเกียว ซึ่งผมจะแวะซื้อของไปทานมื้อดึกทุกวัน ผมจะใช้เศษเหรียญที่เหลือแต่ละวันซื้อของซึ่งทางพนักงานก็ไม่มีบ่นกระปิดกระปอยอะไรเหมือนบ้านเราเลย แถมเวลาเราต้องการหาอะไรเค้าก็กระตือรือร้นที่จะให้บริการอย่างเต็มที่(รวมถึงที่อื่นๆด้วยนะครับ)

3.4.3 ร้านแมคโดนัลล์ที่ฮาราจูกุ ผมไปซื้อกาแฟทาน แต่ด้วยความรีบของพนักงานเค้าเลยเทกาแฟใส่แก้วล้นออกมาเลอะถาดรอง ถ้าเป็นเมืองไทยคงจะแค่เช็ดถาดแล้วเอาแก้วนั้นให้ลูกค้าทาน แต่นี่ไม่ครับเค้าขอโทษผมและทิ้งแก้วนั้นแล้วทำแก้วใหม่ให้ เสร็จแล้วยังขอโทษอีกครั้งที่ทำให้เสียเวลา

3.4.4 อยากแนะนำโรงแรมดีๆที่ผมพักคือ Art hotels โอโมริครับ มีบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าบริการและอาหารดีมากๆ ห้องสะอาดมากๆ และมีรถบริการรับส่งถึงสนามบินฮาเนดะฟรี วันกลับผมมารอขึ้นรถถามจนท.รร.เค้าว่ารถคันไหน เค้าก็ช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ 2 ใบ ขึ้นรถและยืนส่งจนรถลับตาไป ตอนลงรถคนขับยังบริการขนกระเป๋าลงให้อีก

3.5 มีอีกหลายเรื่องที่อยากเล่าครับ ไว้ว่างๆมาเขียนใหม่ ขอบคุณมากครับ