สวัสดีชาวโลก
ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย 1 ปีเต็ม (2556 หรือ 2013) ไม่ใช่ว่าจนหรืออะไรนะครับ(จริงๆจนนั่นล่ะ) คือ ปี 2011 กับ 2012 บ้านเราไปเที่ยวสิงคโปร์ 2 ปีติด แล้วก็ไปแต่ที่เดิมๆจนเกิดความรู้สึกเบื่อ 1 ปีที่ผ่านมาจึงขอหยุดการเที่ยวสิงคโปร์ไว้ก่อน เลยมาถึงการทำการบ้านหาสถานที่เที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจใหม่
มีชื่อที่อยู่ในหัวเราแว๊บแรก 2 ที่ ที่แรกผมนึกถึงฮ่องกง....
ฮ่องกงบ้านเราไม่เคยไปเลย ด้วยอะไรหลายๆอย่าง เช่น บ้านเราพูดภาษาจีนไม่ได้, บ้านเราเดินไม่อยากนั่งเรือข้ามไปมาเก๊า, บ้านเราไม่ชอบต่อของและทะเลาะกับแม่ค้า, บ้านเราไม่ชอบอาหารจีน ฯลฯ
ที่สองคือ ญี่ปุ่น.....
ญี่ปุ่น ผมไปมา 2 ครั้งแล้ว (2007 , 2008) ส่วนเจี๊ยบกับเป้ไปปี 2008 แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย เรายังคิดถึงที่โน่นเสมอ ที่ที่เราวิ่งเล่น ที่ที่เราเดินเราหลงทาง พ่อแม่ผมเป้เจี๊ยบ......ที่นั่นมีความทรงจำและความประทับใจมากมาย
ใน 1 ปีเราจึงเหมือนได้เตรียมตัวอะไรหลายๆอย่าง
อย่างแรกคือ การระดมเงินก้อนนึงที่พอจะประคับประคองการเดินทางสำหรับคน 3 คนภายในระยะเวลา 5-6 วัน
อย่างสองคือ เป้าหมายที่เราจะไป.....เรื่องนี้ต้องเล่าให้ฟังกันยาวเลยทีเดียว ตอนเป้ย้ายรร.มาเข้าป.1 ที่รร.นี้ ผมสัญญากับเป้ไว้ว่าถ้าสอบได้ที่ 1 อยากได้อะไร เป้ตอบว่าอยากไปเกาหลี(ตามแม่) แต่ผมจะถามเหตุผลกับเค้าทุกครั้งว่าทำไมถึงอยากไป? อาหารเกาหลีก็ไม่ชอบ ซีรีย์เกาหลีก็ไม่ดู ไปแล้วซังกะตายอย่าไปเลย เลยเปลี่ยนเป็นญี่ปุ่นแทนเพราะอาหารและวัฒนธรรมญี่ปุ่นน่าจะเข้ากับเราได้มากกว่า อีกอย่างเวลาผมไปเที่ยวไหนทีไรไม่คิดจะพึ่งทัวร์เลย(ไว้บอกเหตุผลท้ายๆ) และเราก็เคยเที่ยวทีนั่นกันมาแล้ว จึงเป็นที่มาของสัญญาระหว่างพ่อกับลูก
พอป.2 เจ้าเป้ทำได้อย่างที่หวังไว้ ผมถามว่าอยากไปญี่ปุ่นปีนี้มั้ย? ลูกบอกว่าไม่ต้องไปก็ได้พ่อ
ขึ้นป.3 ก็ทำได้อีกเช่นกัน ผมถามยืนยันอีกครั้ง? ลูกตอบว่าเสียดายเงิน ผมตอบไปว่าถ้าเรานึกเสียดายในขณะที่เรามีกำลังอยู่ชาตินี้คงไม่ได้ไปไหนแล้ว อยากไปก็ไปเลย จึงเป็นที่มาของอย่างสาม
อย่างสาม วันเดินทาง ช่วงแรกผมดูเดือนสิงหาคมไว้ แต่เจี๊ยบก็ไม่เห็นด้วยเนื่องจากตรงกับวันทำงาน (กะไป 5 วันธรรมดารวมกับเสาร์อาทิตย์ก็ 7 วันซึ่งอาจจะดูนานไปสำหรับการเที่ยวในที่ที่เดินเยอะๆอย่างโตเกียว) เราจึงต้องกางปฏิทินค่อยๆหาวันที่พร้อมสำหรับทุกคน นั่นคือ ตุลาคม เพราะเป้ปิดเทอมแล้ว นั่งคิดไปคิดมาก็เจอช่วงวันปิยะฯคาบเกี่ยวเสาร์อาทิตย์ ถ้าเราเดินทางวันพฤหัสที่ 23 (วันหยุด) แล้วไปซัก 5 วันกำลังดีกับการเที่ยวแบบไม่มากแต่เก็บทุกเม็ดและพอกับ BUDGET ที่เราตั้งไว้ ก็จะลาแค่ 2 วันเท่านั้น
อย่างสี่ การเตรียมอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ถ้าให้เหลาคงยาวมากๆ
1.กล้องถ่ายรูป อย่างที่เคยเล่าว่ากล้องเดิมคือ SONY DSC8 กล้องคอมแพครุ่นอะไรซักอย่างซื้อตั้งแต่ปี 2008 ตอนไปญี่ปุ่นคราวก่อนที่ BIG CAMERA ชิบูยะ(บิ๊กคาเมร่าเมืองไทยยังไม่มีเลยคิดดู) ชอบการใช้งานนะครับมันเล็ก อึด และสะดวกดี แต่ตอนนี้มีปัญหาคือถ่ายรูปออกมาแล้วเป็นเส้นๆทุกภาพ ส่งซ่อมคงไม่คุ้มแน่ๆ กล้องใหม่ไม่กี่ตังค์เลยจัดเจ้า SONY A5000 ไปเรียบร้อย (ไม่กี่ตังค์นะ จนเลย ยังผ่อนไม่หมดเลย T T)
.....
มีกล้องใช่ว่าจะจบนะ มันต้องมีกระเป๋ากล้องใส่อีก ผมเสียเวลาไปสองวัน วันแรกได้กระเป๋ากล้อง(จริงๆ)มาใบนึงจากร้านกระเป๋าที่ CTW ดูเซฟดีน่าจะปลอดภัย แต่พอเอามาใส่เป้ที่จะเอาไปด้วย ด้วยความที่กระเป๋ามันเซฟเลยใบใหญ่กินเนื้อที่เป้ไปครึ่งนึงละ ถ้าจะใส่สัมภาระอื่นคงไม่ได้อีก เลยต้องเสียเวลาอีกวันถอยซองหนังมาเพื่อใส่กล้องอีกอัน ส่วนกระเป๋าใบแรกก็เก็บไว้ใช้งานอื่น
2.กระเป๋าเป้ ใบเดิมซื้อตั้งแต่ปี 2541 ตอนเรียนจบใหม่ๆกะว่าจะไว้เที่ยวทั่วไทยและก็ได้ใช้จริงๆครับ จนมาวันนี้มันขาดและเปื่อยละ คิดว่าถึงเวลาต้องหาใบใหม่มาทดแทนซักที ดูๆอยู่ยี่ห้อนึงคือ CRUMPLER ซึ่งผมใช้กระเป๋าทำงานเค้าอยู่ชอบดีไซน์และน้ำหนักที่เบามากๆ แต่ติดที่ราคามันโหดไปหน่อย ไปดูหลายร้านแต่ตัดใจซื้อไม่ลงสุดท้ายไปได้กระเป๋าวัยรุ่นยี่ห้อนึงกำลัง Sale พอดี เสร็จโจรเลย อิอิ
3.กระเป๋าเดินทาง คราวที่เราไปสิงค์โปร์ซึ่งไปไม่กี่วันและคงช๊อปไม่เยอะเราก็มีกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่บ้าน 2 ใบที่พอจะเอาตัวรอดได้ ส่วนตอนไปญี่ปุ่นก็อาศัยกระเป๋าของย่าปูและปู่แก่ซึ่งมีขนาดใหญ่หน่อย ส่วนคราวนี้ความตั้งใจเดิมของผมอยากซื้อกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆดีซักใบเป็นของตัวเอง ดูของยี่ห้อนึงไว้แต่ด้วยราคาที่อะไรทำให้คิดนานมาก นานจนไม่เอาดีกว่าซึ่งเจี๊ยบก็พยายามหาตัวเลือกอื่นๆมาช่วย แต่จากการที่ไปลองจับๆดู กระเป๋าราคาถูกก็สามารถได้ตามราคานั่นล่ะ สุดท้ายแล้วเราจึงต้องยืมย่าปูไป 2 ใบเหมือนเดิม
4.อุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็นในการเดินทาง เช่น กระติกน้ำ ยารักษาโรค สายชาร์ทโทรศัพท์-กล้องถ่ายรูป ฯลฯ
คราวหน้าเรามาว่ากันถึงเรื่องต่างๆที่ขาดไม่ได้กันครับ....
วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557
รีวิวไปญี่ปุ่นแบบย่อ
ผมไปญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม เพิ่งกลับถึงเมืองไทยเมื่อวานนี้เอง(27 ตุลาคม) ขอขอบคุณสำหรับเพจไม่ใช่กูรูฯนี้มากนะครับ ได้ข้อมูลดีๆเยอะเลย และเป็นครั้งแรกที่ ”ผมนั่ง JR แล้วไม่หลงทาง” เพราะได้ข้อมูลดีๆจากเพจนี้(ผมไปญี่ปุ่นมา 2 ครั้งแล้ว ส่วนเรื่องหลงทิศแหล่งที่จะไปแทน แต่ไม่ใช่ปัญหาครับ มีปากก็ถามไป แฮะๆๆ)
1.เวลาซื้อของทุกอย่างร้านค้าต่างๆจะบวก Vat เข้าไปด้วยนะครับจะซื้ออะไรหรือแม้แต่กินข้าวดูให้ดี หรือถามเค้าก่อนว่าราคานี้รวม Vat หรือยัง (ผมโดนมาแล้วกำเงินไปพอดี พอไปจ่ายตังค์มันมี Vat ตรงนี้ด้วย เงิบไปเลย)
2.ไปไหนเจอแต่คนไทยครับ โดยเฉพาะแหล่งใหญ่ๆอย่างตลาดอะเมโยโกะ , ห้างทาเคย่า ,ศาลเจ้าเมจิ ,ชิบูย่า , ดีสนีย์แลนด์ ฯลฯ
2.1 ไม่รู้ผมซีเรียสไปมั้ยนะครับ แต่เห็นคนไทยหลายๆคนแต่งตัวแล้วรู้สึกแปลกๆ จริงอยู่ว่ามันเป็นสิทธิ์ส่วนตัวของท่าน แต่ฝากเป็นข้อคิดนิดครับ บางทีเราเห็นฝรั่งใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ หรือนักท่องเที่ยวนุ่งกางเกงขาสั้นไปวัด เรายังมองเหยียดๆ เลย
2.2 การซื้อของตามแหล่งช๊อปปิ้ง อย่างห้างทาเคย่า หรือใน Duty Free ที่สนามบิน พี่ไทยเราไม่น้อยหน้าใครจริงๆ อะไรที่ฮิตต้องกวาดซื้อมา เรียกว่ากวาดซื้อไม่พอต้องใช้คำว่าเหมาหมดร้านดีกว่าครับ อย่าง Kitkat ชาเขียวที่ห้างทาเคย่าผมไปซื้อวันที่ 26 ตค.เวลา 14.00 – 16.00 มีคนไทยอยู่ตรงนั้นประมาณ 10-20 คน ของวางไม่ถึงนาทีหมดเกลี้ยงภายในพริบตา พอวางรอบสอง-สามก็หมดอีกเช่นกัน ก็พี่ท่านเล่นเหมาซื้อกันคนละเกือบๆสิบห่อ คนอื่นไม่ต้องซื้อกันล่ะครับ
2.3 คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัยเรื่องการเข้าคิวมาก รวมถึงมารยาทต่างๆเยอะแยะไปหมด เช่นมารยาทในการกินข้าว พี่ไทยเราก็ไม่น้อยหน้า อย่างเช่น
2.3.1 คนญี่ปุ่นยืนเข้าคิวซื้อของ , รอรถไฟ JR ,การไหว้พระตามศาลเจ้า แม้แต่การถ่ายรุปกับมาสคอตที่ดีสนีย์แลนด์ พี่ไทยเรามาจากไหนไม่รู้จ้ำพรวดๆแซงคิวเฉย
2.3.2 คนญี่ปุ่นจะรอสัญญาณไฟจราจร และรถต้องหยุดก่อนจึงข้ามถนน แต่พี่ไทยเราไม่ครับ ถนนว่างกูวิ่งเลย เห็นจะๆคือที่หน้าร้านคริสบี้ครีม ชิบูย่ะ วิ่งข้ามเสร็จมีตะโกนบอกคนข้างหลังว่า มาเร็วๆ(เป็นภาษาไทยเลย)
2.3.3 คนญี่ปุ่นถือเรื่องเวลาเป็นสำคัญและคำนึงถึงคนอื่นด้วย ร้านอาหารส่วนใหญ่มีขนาดเล็กเวลากินเค้าจึงรีบเพื่อจะได้ให้คนอื่นมาทานต่อ พี่ไทยเราก็ถ่ายรูปอาหารแล้วเซลฟี่ นั่งละเมียดกันใหญ่ กินไปเรอไป...อืมมมมม
2.3.4 อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าคนไหนคือคนไทยคือภาษาครับ บนรถไฟ ร้านต่างๆ แหล่งช็อปปิ้ง ที่ท่องเที่ยงดังๆจะมีคนไทยส่งภาษากันสนั่นหวั่นไหว ถ้าท่านจะคุยกันผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ที่เห็นหลายๆท่านนี่ส่งเสียงดังจนเหมือนอยู่ตลาดสดบ้านเราจริงๆ
2.3.5 คนไทยหลายๆคนไปถ่ายรูปคนญี่ปุ่นโดยไม่ขออนุญาตเค้าก่อนนี่เห็นเยอะมากครับ(แอบถ่ายว่างั้น) สังเกตว่าพวกท่านจะถ่ายตอนจังหวะทีเผลอทั้งนั้น และท่านก็จะได้รับสายตาที่โดนดูถูกเหยียดหยามกลับมา แบบนี้ไม่ดีนะครับเหมือนโรคจิตชัดๆและทำให้ภาพลักษณ์คนไทยในสายตาชาวญี่ปุ่นแย่ไปด้วย
3.ขอเล่าเรื่องประทับใจนิดนะครับ
3.1 ไปวันแรกผมจะไปโรงแรมที่พักที่สถานีโอโมริ ดันออกสถานีรถไฟผิดฝั่งก็เลยงงๆทาง ตัดสินใจถามทางกับป้าคนนึงที่เดินผ่าน เผลอพูดคำว่า “sumimasen ,I wanted to go to…………” ทีนี้งานเข้าเลยป้าตอบกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบ Non Stop แต่พอจับใจความได้ว่าแกไม่ใช่คนแถวนี้เลยไม่รู้ทางต้องขอโทษด้วย แต่ก็ประทับใจที่แกพยายามอธิบายทั้งที่ไม่เข้าใจนะครับ
3.2 วันที่ 25 ตค.เวลา 15.30 ผมไปซื้ออุปกรณ์ดนตรีที่ชิบูยะซึ่งออกจากสถานีไปทางSouth Gate และต้องข้ามสะพานลอยไป เสร็จแล้วก็กลับมาตั้งต้นที่สถานีใหม่เพื่อจะไปร้านโตเกียวแฮนด์แต่ไม่แน่ใจว่าต้องไปทางไหน(หลงว่างั้น) เลยถามทางผู้ชายคนนึง ขอเรียกว่า”ฮีโร่ซัง”ละกันครับ ฮีโร่ซังเป็น Salaryman หนุ่มท่าทางใจดีใส่สูทแต่งตัวเนี๊ยบเหมือนชายหนุ่มญี่ปุ่นทั่วๆไป แกไม่รู้จะอธิบายทางยังไงบอกเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย เลยบอกให้ผมตามมา ไอ้เราก็คิดว่าแกจะไปส่งแค่ตรงห้าแยกชิบูย่าแล้วคงให้เราไปเอง แต่ไม่ครับ ฮีโร่ซังพาผมและครอบครัวเดินๆๆๆๆ ตลอดทางแกก็ชวนผมคุยตลอดว่ามาทำอะไร พักที่ไหน มากี่วัน ฯลฯ ผมเลยถามแกว่าแกทำงานแถวนี้หรือเปล่า แกบอกว่าแกทำที่ชินจูกุแล้วก็ยิ้ม ตลอดการเดินนำของแก แกจะหันไปมองแฟนกับลูกผมตลอดว่าตามมาทันมั้ย? จนสุดท้ายก็ถึงร้าน Tokyo hand ระยะทางร่วมๆ 2 กิโลเมตรได้ เกือบๆ 40 นาที สุดท้ายผมไม่รู้จะตอบแทนฮีโร่ซังยังไงนอกจากคำขอบคุณเค้า และขอบคุณจริงๆที่ช่วยเหลือ เสียดายที่ไม่ทันได้ถ่ายรูปหรือขอที่อยู่ติดต่อไว้
3.3 เรื่องความซื่อสัตย์ เวลาซื้อของจ่ายเงิน คนญี่ปุ่นจะทอนเงินและอธิบายเราเสมอว่าเค้าจะทอนแบงค์นี้ๆกี่ใบและเหรียญกี่เหรียญทำให้เราสบายใจเสมอว่า เงินทอนได้ครบทุกเยนแน่นอน
3.4 มีอยู่หลายๆร้านที่ประทับใจครับอย่าง....
3.4.1 ร้าน Guitar Station ที่ชิบูยะเป็นร้านขายเครื่องดนตรี มีสินค้าตัวนึงซึ่งเลิกผลิตไปแล้ว ผมก็ไปตื้อเค้าอยู่พักนึงจนเค้ายอมขายให้ในราคาพิเศษ เลยขออนุญาตถ่ายรูปร้านเค้ามาด้วย ซึ่งผมว่าการขออนุญาตเค้าก่อนเป็นมารยาทที่ดีครับ
3.4.2 ห้าง Seiyu ที่โอโมริ โตเกียว ซึ่งผมจะแวะซื้อของไปทานมื้อดึกทุกวัน ผมจะใช้เศษเหรียญที่เหลือแต่ละวันซื้อของซึ่งทางพนักงานก็ไม่มีบ่นกระปิดกระปอยอะไรเหมือนบ้านเราเลย แถมเวลาเราต้องการหาอะไรเค้าก็กระตือรือร้นที่จะให้บริการอย่างเต็มที่(รวมถึงที่อื่นๆด้วยนะครับ)
3.4.3 ร้านแมคโดนัลล์ที่ฮาราจูกุ ผมไปซื้อกาแฟทาน แต่ด้วยความรีบของพนักงานเค้าเลยเทกาแฟใส่แก้วล้นออกมาเลอะถาดรอง ถ้าเป็นเมืองไทยคงจะแค่เช็ดถาดแล้วเอาแก้วนั้นให้ลูกค้าทาน แต่นี่ไม่ครับเค้าขอโทษผมและทิ้งแก้วนั้นแล้วทำแก้วใหม่ให้ เสร็จแล้วยังขอโทษอีกครั้งที่ทำให้เสียเวลา
3.4.4 อยากแนะนำโรงแรมดีๆที่ผมพักคือ Art hotels โอโมริครับ มีบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าบริการและอาหารดีมากๆ ห้องสะอาดมากๆ และมีรถบริการรับส่งถึงสนามบินฮาเนดะฟรี วันกลับผมมารอขึ้นรถถามจนท.รร.เค้าว่ารถคันไหน เค้าก็ช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ 2 ใบ ขึ้นรถและยืนส่งจนรถลับตาไป ตอนลงรถคนขับยังบริการขนกระเป๋าลงให้อีก
3.5 มีอีกหลายเรื่องที่อยากเล่าครับ ไว้ว่างๆมาเขียนใหม่ ขอบคุณมากครับ
1.เวลาซื้อของทุกอย่างร้านค
2.ไปไหนเจอแต่คนไทยครับ โดยเฉพาะแหล่งใหญ่ๆอย่างตลา
2.1 ไม่รู้ผมซีเรียสไปมั้ยนะครั
2.2 การซื้อของตามแหล่งช๊อปปิ้ง
2.3 คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัยเรื
2.3.1 คนญี่ปุ่นยืนเข้าคิวซื้อของ
2.3.2 คนญี่ปุ่นจะรอสัญญาณไฟจราจร
2.3.3 คนญี่ปุ่นถือเรื่องเวลาเป็น
2.3.4 อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้
2.3.5 คนไทยหลายๆคนไปถ่ายรูปคนญี่
3.ขอเล่าเรื่องประทับใจนิดน
3.1 ไปวันแรกผมจะไปโรงแรมที่พัก
3.2 วันที่ 25 ตค.เวลา 15.30 ผมไปซื้ออุปกรณ์ดนตรีที่ชิบ
3.3 เรื่องความซื่อสัตย์ เวลาซื้อของจ่ายเงิน คนญี่ปุ่นจะทอนเงินและอธิบา
3.4 มีอยู่หลายๆร้านที่ประทับใจ
3.4.1 ร้าน Guitar Station ที่ชิบูยะเป็นร้านขายเครื่อ
3.4.2 ห้าง Seiyu ที่โอโมริ โตเกียว ซึ่งผมจะแวะซื้อของไปทานมื้
3.4.3 ร้านแมคโดนัลล์ที่ฮาราจูกุ ผมไปซื้อกาแฟทาน แต่ด้วยความรีบของพนักงานเค
3.4.4 อยากแนะนำโรงแรมดีๆที่ผมพัก
3.5 มีอีกหลายเรื่องที่อยากเล่า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)